รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead

รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead หรือ ‘มัธยมซอมบี้’ เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่น่าจับตามองของเน็ตฟลิกซ์เกาหลี หนังออนไลน์ล่าสุด ด้วยองค์ประกอบที่การันตีความนิยมอย่างเช่นรุ่นพี่ที่มีมาก่อนหน้า รีวิวซีรี่ย์เกาหลี ทั้งเป็นการใช้ภาพจำซอมบี้กายกรรมที่วิ่งเร็วบ้าคลั่ง หนังใหม่ (และชอบบิดตัวรวมถึงทำสะพานโค้งอันเป็นเอกลักษณ์) หนังฟรี ที่ต้องยอมรับว่าเกาหลีทำซอมบี้แนวนี้จนกลายเป็นของตนเองได้แข็งแรงมากทั้งที่ไม่ใช่คนต้นคิดด้วยซ้ำ ดูหนังออนไลน์ จากทั้งหนังอย่าง ‘Train to Busan’ (2016) หรือซีรีส์ ‘Kingdom’ (2019-2021) ซีรีส์เรื่องนี้ก็มาตอกย้ำภาพให้แข็งแรงขึ้นอีก ทั้งยังเป็นการนำเนื้อหามาจากเว็บตูนผลงานของ จูดองกึน (Joo Dong-geun) ที่ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า ‘ตอนนี้ โรงเรียนของเรา..’ ซึ่งมีฐานแฟนการันตีความนิยมมาก่อนแล้ว คล้ายกับซีรีส์ ‘Sweet Home’ (2020) หรือ ‘Hellbound’ (2021) ที่ต่างเรียกกระแสความสนใจได้มากตั้งแต่แรกเช่นกัน ดูหนังฟรี

รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead

เอาจริงแค่ที่ว่ามาก็พอแล้วในการสร้างความอยากดูโดยไม่ต้องไปใช้ดารานักแสดงดัง ๆ เลย ทำให้ซีรีส์กล้าลองใช้นักแสดงวัยรุ่นอัดเต็มพิกัดแบบยกให้แบกเรื่องได้ ทั้งดัน พักจีฮู (Park Ji-Hoo) ที่เคยมีผลงานในเน็ตฟลิกซ์และรับบทนำในหนังมากรางวัลอย่าง ‘House of Hummingbird’ (2018) มารับบท อนโจ ประกบกับ ยุนชานยอง (Yoon Chan-Young) ในบท ชองซาน ที่พอบอกได้ว่าเป็นคู่นำหลัก 1 ใน 2 คู่เลยก็ว่าได้ ในขณะที่ฝั่งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เน้นนักแสดงเบอร์ใหญ่แต่ใช้ดาราที่มีฝีมือเคยผ่านงานหนังและซีรีส์มาเล่นช่วยประคองเรื่องราวในพาร์ตฝั่งพ่อแม่ผู้ปกครองและฝั่งการเมืองการทหารได้ลงตัว
แม้เป็นตัวเอก แต่ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเลยถึงออร่าออกพอให้น่าจดจำ
ซีรีส์มีความยาวมากถึง 12 ตอน ตอนละเกือบ ๆ 1 ชั่วโมง และปูเรื่องในช่วงแรกได้น่าสนใจดี โดยขยายความจากเรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน จนหนึ่งในผู้ปกครองเด็กที่ถูกรังแกทนดูไม่ได้ที่ลูกอยากฆ่าตัวตายมากกว่าอยากจะลุกขึ้นสู้ จึงช่วยเหลือด้วยการฉีดสารกระตุ้นที่สกัดจากหนูทดลองที่จนตรอกให้กับลูกชาย และกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติที่เราคุ้นเคยอย่างซอมบี้เพื่อไปล้างแค้นโลกที่มันบิดเบี้ยวนี้
รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead
จริง ๆ มุมเรื่องตรงนี้น่าสนใจ การถกเถียงและชูปมขัดแย้งเชิงศีลธรรมของตัวละครครูวิทยาศาสตร์และเป็นผู้ปกครองที่มีลูกถูกรังแกอย่าง ครูอี กับตำรวจนั้น เป็นช่วงที่ดูสนุกและจริงจังที่สุดในซีรีส์แล้ว ในขณะที่การแสดงภาพของการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจากแก๊งหัวโจกที่แสดงความสัมพันธ์แบบผู้ล่าและเหยื่อในโรงเรียนเองก็ปูได้อย่างเข้มข้น เช่นในฉากที่หนึ่งในกลุ่มตัวเอกอย่าง ซูฮยอก (รับบทโดย พักโซโลมอน (Park Solomon) เข้าไปช่วยเหลือพวกที่โดนรังแกแต่กลายเป็นว่าเหล่าเหยื่อยอมถูกรังแกต่อเพราะกลัวจะโดนหนักข้อขึ้นในคราวหลัง ก็แสดงความเป็นลูกไก่ในกำมือและการปลูกฝังทัศนคติแบบทาสในโรงเรียนได้น่าสนใจ
แต่พอซีรีส์เข้าฝั่งเนื้อเรื่องของปมรักหลายเส้าของพวกกลุ่มนักเรียนเพื่อขยายดราม่าให้พัฒนาเรื่องราวไปพร้อมความโกลาหล กลับพบว่าทำได้ไม่ค่อยน่าสนใจนักอาจเพราะตัวละครหลักถูกสร้างมาแบบพวกนิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่ค่อยแสดงออก หรือทื่อซื่อ จนมันขยับดราม่าไม่ค่อยได้มากนัก บางช่วงทำเอานึกถึงซีรีส์นักเรียนจากไต้หวันในแง่ที่ไม่ค่อยพัฒนาเรื่องหลักเลยด้วยซ้ำ
และแม้จะมีเวลามากมายในการเล่าเรื่องจนขยายเส้นเรื่องไปได้ทั้งในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียน มีตัวละครหลายกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม สามารถปั้นดราม่าหรือฉากที่น่าจดจำได้มากมาย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็พอจูงเราให้สนุกได้ถึงราวประมาณตอนที่ 5 หรือเกือบครึ่งทางเท่านั้น ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าตัวซีรีส์ไม่ได้พาทิศทางใหม่ ๆ ให้น่าจดจำเลย เมื่อความตื่นตาตื่นใจในเหล่าซอมบี้เริ่มจืดจางเอียนตา (ขนาดว่าช่วงหนึ่งแทบรู้สึกว่าเลิกสะพานโค้งสักทีเถอะ มันออกจะน่าขำมากกว่าแล้ว) และฝั่งดราม่าก็ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ภาพรวมของซีรีส์จึงเป็นความรู้สึกว่าใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าในการเล่าเรื่อง และขาดการพัฒนากราฟความสนุกที่ดี กลายเป็นว่ายิ่งดูยิ่งรู้สึกร่วมน้อยลงเรื่อย ๆ
และหลายครั้งตัวซีรีส์ก็ไม่สามารถก้าวข้ามความน่าหงุดหงิดในการตัดสินใจของตัวละครที่ดูไม่สมจริงในแต่ละสถานการณ์ ความเฉยชาเกินปกติ หรือแม้แต่ลำดับเวลาในเรื่องก็เหมือนจะดูสับสนเมื่อมีการขยายความออกไปนอกพื้นที่โรงเรียน ระดับการรับมือกับเรื่องราวดูไม่ค่อยสมจริงนัก ถ้าไม่มากไปก็ดูน้อยไปในหลายครั้ง รวมถึงการวางกฎของซอมบี้ในเรื่องก็ชวนสับสน ในบางช่วงการติดต่อดูง่ายดายแค่เลือดโดนแผลก็ติด แต่บางช่วงเลือดท่วมใส่หน้าใส่ตาดันไม่ติด หรือการฆ่าซอมบี้เหมือนจะต้องใช้มีดแทงคอเท่านั้นถึงจะตาย แต่บางช่วงยิงหัวก็ตายได้ หาความแน่นอนไม่ได้
รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead
ปัญหาหลัก ๆ หนึ่งที่สำคัญมากคือซีรีส์ขาดตัวร้ายที่ดีพอ แม้ปมเรื่องการกลั่นแกล้งที่ถูกปูพื้นและเตรียมขยายความมาอย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันฝั่งตัวละครสีเทาอย่างเด็กนักเรียนหญิงที่เป็นเหยื่อที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักและก็ได้ความสามารถมาเช่นกันในภายหลัง กลับมีเส้นเรื่องในการล้างแค้นแบบเรียบมาก ๆ ทั้งที่การดึงตัวละครนี้ไปฟาดฟันกับตัวร้ายหลักหรือกลุ่มตัวเอกแล้วเกิดสงคราม 3 ฝ่ายเป็นอะไรที่ผู้ชมน่าจะความสะใจและยกระดับซีรีส์ได้มาก แต่ซีรีส์ก็เลือกการเดินเรื่องที่มันไม่ค่อยสนุกแทนอย่างน่าเสียดายเหมือนไม่รู้ว่าคนดูอยากดูอะไร
‘All of Us Are Dead’ หรือ ‘มัธยมซอมบี้’ เป็น Netflix Original Series ที่ติดอันดับ Netflix top 10 ใน 91 ประเทศทั่วโลกหลังจากออกฉาย ด้วยเรื่องราวที่สนุกชวนลุ้น ซึ่งมีทั้งการหนีตาย ความรักวัยรุ่น ปมปัญหาชีวิตของแต่ละตัวละคร ถึงจะมีบางจุดที่ชวนให้ขัดใจกับตัวละครและทิศทางของเรื่องอยู่บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องกดดูตอนต่อไปต่อจนจบ เพราะความสนุกชวนให้อินของเรื่องไม่ได้ผูกอยู่แค่ที่ตัวละครและการตัดสินใจของพวกเขา แต่การที่เรื่องสะท้อนให้เห็นชีวิตของนักเรียนและสังคมเกาหลีได้อย่างน่าสนใจ ว่าซอมบี้ในเรื่องไม่ได้เกิดจากวิทยาศาสตร์และการทดลองเท่านั้น แต่เกิดจากสภาพสังคมที่มีความรุนแรง กดดันและกัดกินวิญญาณของเยาวชน จนเหลือแค่เพียงความกลัวและการดิ้นรนเอาตัวรอด และผู้ใหญ่ที่เพิกเฉยต่อปัญหาก็เป็นมุมมองที่น่าสนใจอีกเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการใช้สัญญลักษณ์ที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เรือเซวอลล่ม ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ลากไส้ให้เห็นความล้มเหลวของการบริหาร และผลกระทบตกหนักอยู่ที่เยาวชน
รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead

บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของเรื่อง

เนื้อหาของ ‘All of Us Are Dead’ มัธยมซอมบี้ ก็ตรงกับชื่อเรื่อง คือเป็นเรื่องราวของนักเรียนในโรงเรียนมัธยมปลาย ที่ต้องหนีจากเพื่อนที่กลายเป็นซอมบี้หลังจากมีนักเรียนผู้ติดเชื้อคนที่หนึ่งโดนหนูในห้องวิทยาศาสตร์กัดทำให้มีการแพร่เชื้อในโรงเรียนไปจนถึงนอกโรงเรียน ทำให้ผู้ที่เหลืออยู่ต้องหาทางเอาตัวรอดเมื่อไม่มีโทรศัพท์ หรือแม้แต่อาหาร และผู้ใหญ่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของพวกเขาได้เลย และผู้ชมก็ต้องคอยลุ้นว่าพวกเขาจะผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างไร
เมื่อซีรีส์ออกฉากมีหลายเสียงใน social media ที่ได้พูดถึงการที่องค์ประกอบบางอย่างในซีรีส์ชวนนึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเรือเซวอล และเมื่อเราคิดกลับไปและอ่านข้อมูลเพิ่มเติม ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพสะท้อนนั้นชัดเจนขึ้นในเหตุการณ์และตัวละคร อย่างครู และ ผู้ใหญ่ที่ทอดทิ้งเยาวชนเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไปจนถึงริบบิ้นที่ใช้ไว้อาลัย ซึ่งอาจจะกำลังสะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองโศกนาฏกรรมมีเหตุมาจากเรื่องเดียวกันคือ
 ผลประโยชน์และความเห็นแก่ตัวที่มาก่อนชีวิตเยาวชน
การเลือกให้จุดเริ่มต้นของเรื่องที่ทุกคนในเมืองกลายเป็นซอมบี้เกิดขึ้นจากเรื่องที่ดูเหมือนจะเล็ก ๆ ที่ผู้ที่อยู่ในอำนาจมองข้าม ซุกไว้ใต้พรมเพื่อรักษาหน้าและตำแหน่งของตัวเอง คล้ายกับเหตุการณ์เรือเซวอลล่มตรงที่มันเร่ิมต้นมาจากความเพิกเฉยเช่นกัน เร่ิมมาตั้งแต่การผ่านใบอนุญาตทั้งที่เรือได้ถูกนำมาดัดแปลงอย่างผิดกฏหมาย เพื่อสามารถขนส่งสินค้าได้มากขึ้น และก็เรือไม่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดอีกด้วย ความเพิกเฉยที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมเรือเซวอลก็เหมือนกับที่ตอนครูวิทยศาสตร์พยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกของตนที่โดนทำร้าย แต่กลับโดนเมิน หลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยกลับส่งผลมหาศาล
ตัวละครครูใหญ่ที่ห้ามไม่ให้แจ้งบุคคลภายนอกตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มและให้นักเรียนกลับไปอยู่ในห้องเรียน ซ้ำหลังจากที่เหตุการณ์บานปลายเกินควบคุม เขายังสั่งให้นักเรียนเสี่ยงไปเอารถเพื่อให้เขาหนี ก็ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ในเรือเซวอลที่ทั้งที่มีเวลาที่จะอพยบผู้โดยสารออกมาได้แต่กัปตันเรือก็ไม่ได้สั่งให้อพยบ จนมีนักเรียนมากมายที่รอคำสั่งต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า และถึงแม้จะมีการอ้างว่าระบบกระจายเสียงเสีย แต่การที่กัปตันและลูกเรือหนีเอาตัวรอดออกมาก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยไม่เตือนแม้แต่นักเรียนที่อยู่ชั้นบนและเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในห้องซึ่งพวกเขาต้องเดินผ่านก่อนหนีออกจากเรือ ก็สะท้อนให้เห็นการละทิ้งหน้าที่ความเห็นแก่ตัวถึงขีดสุดของผู้นำที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้ เช่นเดียวกับในซีรีส์
ครูผู้สละตนแต่ในหมู่ผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวก็ยังมีครูที่สละตน ในเรือเซวอลมีครูหลายคนที่ทำหน้าทีจนวินาทีสุดท้ายจนร่างของพวกเขาจมหายไปโดยหลายคนไม่ได้หวนคืนจากทะเลจนทุกวันนี้ เช่นเดียวกับครูพัคในเรื่องที่สละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือนักเรียนความล่าช้าของทางการและการละทิ้งเยาวชนในซีรีส์เหล่านักเรียนได้พยายามติดต่อขอความช่วยเหลือทุกทาง แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ หรือมีหลายครั้งที่มีคนเข้ามาช่วยเหลือแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทิ้งพวกเขาด้วยเหตุผลต่าง ๆ อาจจะกำลังสะท้อนความล่าช้าของทางการที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่าทีควรของเหตุการณ์บนเรือเซวอล เช่นการที่หน่วยยามชายฝั่งไม่ได้พร้อมให้ความช่วยเหลือทันที จนผ่านโกลเด้นไทม์หรือช่วงนาทีทองที่ผู้ประสพภัยจะมีสิทธิ์รอดชีวิตมากที่สุดไป หรือการที่ยามชายฝั่งเลือกช่วยแต่นักเรียนที่กระโดดลงมาในน้ำจนมีเสียงวิพากย์วิจารณ์จากทั้งประชาชนและผู้รอดชีวิตถึงการช่วยเหลือที่ล่าช้าและทำไม่เต็มที่
ทำให้มีหลายคนที่เชื่อคำสั่งแรกให้รอความช่วยเหลือจมไปพร้อมเรือ เช่น ผู้รอดชีวิตด้วยการกู้ภัยทางเฮลิคอปเตอร์ ที่ออกมาพูดว่าหากมีแค่สักคนหย่อนเชือกไปให้เด็กที่ติดอยู่ในเรือเกาะปีนออกมาคงจะมีผู้รอดชีวิตมากกว่านี้ ก็ชวนในนึกถึงฉากที่มีเฮลิคอปเตอร์เข้ามาถึงโรงเรียน แต่กลับทิ้งกลุ่มนักเรียนไว้เพราะกลัวการติดเชื้อ เหตุการณ์ในเรื่องมีผู้เสียชีวิตเป็นนักเรียนมากมาย เช่นเดียวกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมรือเซวอลมีผู้เสียชีวิต 250 จาก 304 คน ที่เป็นนักเรียนมัธยม
ข้อความสุดท้าย และริบบิ้นไว้อาลัยสีเหลือง
วิดีโอที่นักเรียนอัดกันและริบบิ้นสีเหลืองที่ผูกไว้เพื่อไว้อาลัยในเรื่อง ก็ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์จริงที่นักเรียนอัดข้อความสุดท้ายไว้ก่อนจะเสียชีวิตในเรือ และริบบิ้นสีเหลืองที่ผูกไว้ข้างรั้วเพื่อระลึกถึงผู้ที่สูญหายและจากไปจากเหตุการณ์ก็พาให้นึกถึงริบบิ้นเหลือที่ถูกผูกไว้ที่รั้วใกล้เรียนมัธยมดาวอนซึ่งเป็นโรงเรียนของเด็ก ๆ ในเหตุการณ์เรือเซวอล ริบบิ้นเหลืองนี้เป็นสัญญลักษณ์ของความหวังว่าจะมีผู้รอดชีวิต แต่ความเศร้ากลายเป็นความโกรธแค้น และในภายหลังริบบิ้นเหลืองก็ได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ที่ใช้ในการต่อต้านประธานาธิบดีพัคกึนฮเยทีครองอำนาจอยู่ในขณะนั้น และส่งผลให้เธอโดนเปิดโปง ปลดจากตำแหน่ง และถูกดำเนินคดีในที่สุด

ผลกระทบหลังโศกนาฏกรรมและโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนไป

ในเรื่องเหตุการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายไปโดยที่สาเหตุไม่ได้ถูกสอบสวนให้ดีและแน่ชัด เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมเรือเซวอล ที่แม้จะมีการเปิดเผยถึงสาเหตุบางส่วน และมีผู้ที่เกี่ยวข้องถูกลงโทษ แต่เหมือนจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก บทความจาก New York Times เปิดเผยว่าหลังเหตุการณ์มีการตรวจสอบและบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้น สำหรับการโกงน้ำหนักคลังสินค้าบนเรือ แต่การตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ และการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ถูกปฏิเสธด้วยปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ทำให้ยังมีของโหว่สำหรับการคอรัปชั่น และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอยู่ นอกจากนี้ยังไม่มีบทลงโทษสำหรับหน่วยงานด้านกู้ภัยที่ทำงานล่าช้าจนมีผู้เสียชีวิต เช่นเดียวกับในซีรีส์ที่ข่าวออกมาบอกว่ายังไม่สามารถสืบหาต้นตอของเชื้อโรคได้ทั้งที่สาเหตุที่แท้จริงแล้วจุดกำเนิดนั้นอยู่ที่ความอ่อนแอของกฏหมายและผู้บังคับใช้อำนาจจนเยาวชนต้องมารับกรรม
‘ใครเป็นคนสร้างโลกแบบนี้ล่ะ ถ้าเมินเฉยกับการใช้ความรุนแรงเล็กน้อยสุดท้ายโลกก็จะถูกความรุนแรงครอบงำ ผมเตือนเป็นร้อยหนแล้ว แต่ไม่มีใครฟังเลย’
นอกจากการเสียดสีสังคม All of Us Are Dead ยังสะท้อนปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่ทำให้ชีวิต การเป็นเด็กเกาหลีทรหดไม่แพ้ในหนังซอมบี้ อย่างเรื่องปัญหาการเหยียดชนชั้น ปัญหาท้องในวัยเรียน ความกดดันในการสร้างอนาคตและเข้ามหาวิทยาลัย แต่ประเด็นที่เด่นที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นการการบูลลี่ที่เป็นกระแสในเกาหลีตั้งแต่ครั้งข่าวเรื่องนักวอลเลย์แฝดหญิงใช้ความรุนแรงในโรงเรียน และยังคงเป็นประเด็นที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องด้วยกระแสแบนดาราเพราะเรื่องการใช้ความรุนแรงในอดีต จนถึงล่าสุดที่มีนักวอลลเลย์บอลชาย ‘คิมอินฮยอก’ ฆ่าตัวตายเพราะเสียงวิพากย์วิจารณ์ในอินเตอร์เน็ต
ปัญหานี้ถูกนำเสนอตั้งแต่ต้นเรื่อง ผ่านทางตัวละคร ‘จินซู’ ลูกของครูวิทยาศาสตร์โดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซ้ำยังถูกตอกย้ำด้วยการเมินเฉยจากผู้ใหญ่และผู้มีอำนาจ เพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อพึ่งใครไม่ได้พ่อของเขาที่เป็นครูวิทยศาสตร์อัจริยะจึงคิดค้นและทดลองฉีดยาเพิ่มความกล้ากับลูกตัวเอง เพื่อให้ลูกคิดจะสู้แทนที่จะคิดหนีด้วยการฆ่าตัวตาย จนลูกชายกลายเป็นซอมบี้ การที่สารตั้งต้นของซอมบี้ที่เป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่กำลังพุ่งด้วยความกลัวถึงขีดสุด อาจจะเป็นสัญญลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าการที่เด็กคนหนึ่งกลายเป็นซอมบี้ที่กัดกิน ทำร้ายผู้อื่นไม่เลือกหน้า เป็นเพราะความกลัวและการดิ้นรนเพื่อที่จะเอาตัวรอดเท่านั้นเอง และสิ่งที่จินซูและนักเรียนอีกหลายคนในเรื่องต้องเผชิญก็ไม่ต่างกับนักเรียนจำนวนมากในเกาหลีใต้

รีวิวซีรี่ย์ All of Us Are Dead

บทความจาก Korea Herald เมื่อปี 2019 เปิดเผยว่าสถิติการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากปีก่อน ๆ โดยในปี 2019 มีนักเรียก 1.6% (ประมาณ 60,000 คน) จากนักเรียน 3.72 ล้านคนที่ตอบแบบสอบถาม ที่ระบุว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงในโรงเรียน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับนักเรียนในวัยประถมศึกษา โดยผู้ใช้ความรุนแรงเป็นเพื่อนร่วมห้อง (48.7%) ตามมาด้วย เพื่อนร่วมชั้นแต่ต่างห้อง (30.1%) และสถานที่เกินเหตุอันดับ 1 และ 2 คือห้องเรียนและทางเดิน แต่สำหรับนักเรียนมัธยม อันดับสามจะอยู่บนโลกออนไลน์ในรูปแบบ cyberbullying ส่วนการกลั่นแกล้งที่เป็นที่พบเจอได้มากที่สุด คือการละเมิดทางวาจา (verbal abuse) รุมกลั่นแกล้ง (group bullying) กลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (cyberbullying) สะกดรอยตาม (stalking) ทำร้ายร่างกาย (physical abuse)
นอกจากนี้ยังมีอย่างอื่นที่รองลงมาอย่าง การขู่กรรโชก บังคับให้ทำธุระให้ และการล่วงละเมิดทางเพศอีกด้วย แม้การรุมกลั่นแกล้งจะมาเป็นเบอร์สอง แต่เป็นการกลั่นแกล้งที่มีสถิติเติบโตมากที่สุด โดยมีมากขึ้นจากปีก่อนถึง 6% ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลเนื่องจากการรุมกลั่นแกล้งอาจนำไปสู่การกลั่นแกล้งรูปแบบอื่น ๆ รวมกัน เพราะ 41.4% ของนักเรียนที่เคยโดนรุมกลั่นแกล้งระบุว่าพวกเขาเคยโดยล่วงละเมิดทางวาจา และ 14.7% ยังโดนกลั่นแกล้งทางออนไลน์อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *