รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก

ซีรีย์เกาหลี แอดเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ อยากหาหนังหรือซีรีส์มาดูเพิ่มในเพล์ลิสต์ ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้สนุกจริงครับ มาลองดูรีวิวกันนะครับ และ คงมีหนังหรือซีรีส์ที่ดูแล้วชอบมาก ๆ และอยากให้มีภาคต่อ แต่บางเรื่องก็ไม่มีวี่แววว่าภาคต่อจะมา ทำให้เรารู้สึกนอยบ้าง วันนี้ผมจึงจะมาแนะนำและรีวิวซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งที่เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ที่หลายคนอยากให้มีภาคต่อมาก ๆ เรื่องนั้นคือเรื่องอะไร ไปชมกันครับรีวิว Vagabond

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก

ชื่อเรื่อง : Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก
แนว : สายลับ , อาชญากรรม , แอ็คชั่น , ทริลเลอร์ , โรแมนติก
ผู้กำกับ : Yoo In-sik
นักแสดง : Lee Seung-gi , Bae Suzy , Shin Sung-rok
จำนวนตอน : 16 ตอน
ดูหนังได้ที่ : ดูหนัง 4k

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก

หากพูดถึง Vagabond สิ่งแรกที่หลายคนจะนึกถึงคือ ดูหนังออนไลน์ 4k มังงะว่าด้วยยอดซามูไรระดับตำนาน มิยาโมโต้ มุซาชิ (Miyamoto Musashi) ของอาจารย์ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ (Takehiko Inoue) คนเดียวกับที่วาดและเขียนมังงะ Slam Dunk แต่ในปัจจุบันภาพจำของใครต่อใครหากพูดถึง Vagabond คือซีรี่ส์เกาหลีที่ดุเดือด เข้มข้น และสนุกที่สุดประจำปี 2019

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก เป็นซีรี่ส์แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ความยาว 16 ตอน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ SBS ที่เกาหลี แต่คนทั่วโลกสามารถรับชมได้ผ่านทาง Netflix ซีรี่ส์กำกับโดย ยูอินซิก (Yu In Shik) และได้ จางยองชอล (Jang Young-Cheol) กับ จองคยองซุน (Jung Kyung-Soon) มาทำหน้าที่เขียนบท พวกเขาคือ 3 ประสานทีเด็ดที่ร่วมงานกันเมื่อไหร่เป็นต้องปังทุกเรื่อง นำโดย Giant (2010), History of the Salaryman (2012) และ Incarnation of Money (2013) ซึ่งกวาดเรตติ้ง คำชม และรางวัลมาครองถล่มทลาย และ Vagabond ก็เข้าข่ายนั้นเช่นกัน

จริงๆ แล้ว Vagabond ควรต้องออกอากาศตอนแรกไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เพราะการถ่ายทำเสร็จสิ้นล่าช้าทำให้ต้องเลื่อนมาออกอากาศในเดือนกันยายนแทน และเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาก็เพิ่งฉายตอนสุดท้ายจบลง กลายเป็นว่าความล่าช้าไม่มีผลต่อเรตติ้งซึ่งดีไม่มีตก แถมยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์และสาธารณชน และถูกกล่าวถึงในโลกโซเชี่ยลจนติดเทรนด์ระดับโลก

สำหรับเรื่องราวของ Vagabond เล่าถึง ชาดัลกอน (อีซึงกิ – Lee Seung-Gi) สตันท์แมนที่หาเลี้ยง ชาฮุน (มุนอูจิน – Moon Woo-Jin) หลานชายแบบเช้าชามเย็นชาม เขาอาจไม่ใช่อาที่ดีนัก ไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกของหลานเท่าไหร่ แต่เมื่อ ชาฮุน เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกขณะเดินทางไปยังประเทศโมร็อกโกพร้อมกับอีกกว่า 200 คนในไฟลท์นั้น กลายเป็นจัดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญให้เขากลับมาทบทวนตัวเอง ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจ จู่ๆ เขาพบเบาะแสว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการก่อการร้ายเพื่อเป้าหมายบางอย่าง เขาจึงพยายามทำทุกทางเพื่อสืบหาความจริงและลากตัวการมาลงทัณฑ์ให้จงได้ เป็นเหตุให้ โกแฮรี (เบซูจี – Bae Suzy) เจ้าหน้าที่สาวจากหน่วยข่าวกรองเกาหลีต้องเข้ามาช่วยไขคดีด้วย

จุดเด่นประการสำคัญของซีรี่ส์

รีวิวซีรีย์ Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก อยู่ที่การได้ 2 นักแสดงมากความสามารถ อีซึงกิ และ เบซูจี มารับบทนำ ถือเป็นการกลับมาประกบคู่กันอีกครั้งหลังเคยร่วมจอกันมาก่อนในซีรี่ส์ย้อนยุค Gu Family Book (2013) ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีมากเช่นกัน และใน Vagabond ทั้งคู่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง แถมความสามารถ เสน่ห์ เคมี และความหล่อสวยของพวกเขายังเพิ่มสูงขึ้นกว่าเรื่องก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำให้แฟนๆ โดนตกเพิ่มขึ้นอีกมากโข

แต่งานในเรื่องนี้ถือว่ายากและโหดหินกว่าเรื่องก่อนหลายเท่าเหมือนกัน เพราะคราวนี้เป็นซีรี่ส์แอ็คชั่นระห่ำเดือด ไล่ล่าแบบนอนสต็อป ตัวเรื่องเต็มไปด้วยปริศนาซับซ้อนซ่อนเงื่อน พวกเขาจึงต้องฟิตร่างกายครั้งใหญ่เพื่อรับมือความทรหด โดยเฉพาะ อีซึงกิ ที่ต้องฝึกฝนหนักกว่าใครเพื่อให้สมกับบทบาทยอดนักบู๊จอมอึด ผู้ไม่ยอมตายง่ายๆ จนกว่าความจริงจะเปิดเผย

อีกจุดขายของ Vagabond คือการพยายามชูว่าเป็นซีรี่ส์เกาหลีที่คุณภาพสูสีกับซีรี่ส์ระดับโลกในทุกองค์ประกอบ ไม่เพียงแค่การแสดง บท และความสนุกลุ้นระทึก แต่ยังรวมถึงงานสร้างที่ใช้เงินจัดเต็มกว่า 2.5 หมื่นล้านวอน ซึ่งหากใครได้ดูก็จะพบว่า เงินที่ลงทุนไปมหาศาลนั้นคุ้มค่าทุกวอนจริงๆ ไม่เพียงแค่ถ่ายทำในเกาหลี แต่ยังยกกองไปถ่ายทำไกลถึงประเทศโปรตุเกสและโมร็อกโก นอกจากจะให้ภาพที่สวยงาม แปลกใหม่ และใช้เทคนิคพิเศษขั้นเทพให้ผลลัพธ์ด้านภาพที่เนี้ยบและเนียนไม่แพ้งานระดับฮอลลีวู้ด

ไฮไลท์ของโปรดักชั่นระดับโลกยังอยู่ที่การใช้ฉากหลังเป็นเมืองแทนเจียร์ โมร็อกโก ในการบู๊แหลก ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำเดียวกันกับหนังสายลับเรื่อง The Bourne Ultimatum (2007) ถึงแม้โลเคชั่นจะซ้ำ แต่ทุกฉากต่อสู้อันลุ้นระทึกที่ถ่ายทำมาได้รับการออกแบบอย่างดี และใช้ประโยชน์จากสถานที่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลงเอยด้วยความสนุกและชวนติดตามไม่แพ้ The Bourne Ultimatum เลย

แต่ตามสไตล์ของซีรี่ส์แอ็คชั่นทุนสูง Vagabond มาพร้อมกับความขี้โม้ขั้นสุด โดยเฉพาะในเกมวางหมากหักเหลี่ยมเฉือนคมของตัวละครทุกฝ่ายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายชั้นและดูจะฉลาดล้ำเกินไป จนยากจะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง มันอาจเป็นจุดที่ไม่ชวนให้คล้อยตาม แต่จุดอ่อนดังกล่าวโดนกลบด้วยการเล่าเรื่องรวดเร็วฉับไว และเนรมิตสถานการณ์อันพลิกผันให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จนกว่าคนดูจะรู้ตัวว่าควรต้องถือสาหาความกับประเด็นดังกล่าว ก็สนุกติดลมบนไปไกลแล้ว และถึงซีรี่ส์จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้เร็วเกินไปจนตัวละครขาดมิติและพัฒนาการ

ในแต่ละตอนคนดูจะสัมผัสได้ถึงแง่มุมของตัวละครที่อาจไม่คาดคิดมาก่อน ได้เห็น ดูหนังออนไลน์ ความซับซ้อน ความเปราะบาง และความน่าเห็นใจอย่างเท่าเทียมทุกฝ่ายจนอาจกล่าวได้ว่า ซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่มีใครขาวสุดหรือดำสุด ตัวละครที่รักพร้อมจะกลายเป็นคนน่ารังเกียจได้ทุกเมื่อ ส่วนตัวละครที่น่าเดียดฉันท์ก็อาจน่าเห็นใจ น่าเอาใจช่วยมากที่สุดได้เช่นกัน ด้วยความเข้มข้นและความน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบของ Vagabond ทำให้ผู้เขียนนึกถึงความมันส์ของซีรี่ส์แอ็คชั่นระดับตำนานเรื่อง 24 (2001-2010) ที่มาพร้อมเนื้อเรื่องโม้สะบั้นหั่นแหลกไม่แพ้กัน มีฉากแอ็คชั่นชวนลุ้นระทึก ความสนุกตื่นเต้น การหักเหลี่ยมเฉือนคม ความคาดเดาไม่ได้ และการสอดแทรกประเด็นการก่อการร้าย เชื่อมโยงปัญหาทางการเมือง

เมื่อพอพิจารณาจากว่าผู้สร้างเองเคยพูดว่าพวกเขามี 24 เป็นหนึ่งในต้นแบบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวถึงก็มีทั้งหมด มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขานำเอาข้อดีของซีรี่ส์ที่เล่นกับเวลาแบบเรียลไทม์เรื่องนั้นมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ

ดังที่กล่าวไปว่า Vagabond มาพร้อมความสนุกและความน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ยิ่งเรื่องราวดำเนินไปและเจอเรื่องพีคขึ้นเรื่อยๆ ก็ชวนให้กังวลเหมือนกันว่า สุดท้ายแล้วผู้สร้างจะหาทางคลี่คลายปมทุกอย่างให้สวยงามได้อย่างไร และมีตัวอย่างมากมายที่ดำเนินมาเรื่องมาอย่างดิบดี ทว่ากลับพังพินาศในตอนจบ ตัวอย่างสำคัญก็คือ 24 ในหลายๆ ซีซั่น

แต่โชคดีว่า Vagabond ไม่ได้เอาข้อเสียดังกล่าวมาใช้ แถมยังหาทางที่ฉลาด (และเหนือความคาดหมาย) จนทำให้ใครต่อใครที่ได้ดูต่างอยากดูซีซั่นต่อไปกันใจจะขาดถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เหล่าผู้สร้างจะเดินหน้า Vagabond ซีซั่น 2 กันหรือไม่ และถ้ามีจริงจะมีกำหนดฉายเมื่อไหร่ เพราะยังต้องดูข้อตกลง และคิวงานของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งเพิ่งได้พักจากการทำงานอันหนักหนาและยาวนานถึง 11 เดือน

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว เราน่าจะได้ดู Vagabond ซีซั่นต่อไปแน่นอน เพราะหากไม่มีภาคใหม่ตามมา เชื่อได้ว่าเหล่าผู้สร้างน่าจะโดนคนทั่วโลกรุมประชาทัณฑ์โทษฐานที่มาทำให้อยากแล้วจากไป ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อว่ามหกรรมความเดือดนี่จะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่ แต่ถึงต้องรอนานหน่อย หากการรอคอยแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีงามแบบนี้ มั่นใจได้ว่าคนดูก็พร้อมจะรอ อย่างน้อยก็มีผู้เขียนหนึ่งคนแล้วแน่นอน

ความสนุก : 10/10 ถ้าได้ ดูหนัง แล้วจะติดใจ

ใครที่ชอบซีรีส์หรือหนังแนวสายลับ แอ็คชั่น สืบสวนมีปนโรแมนติกนิด ๆ เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ สามารถรับชมได้ทาง Netflix

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *